clickToScroll

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิธีจัดการสิวและรักษาสิวง่ายๆ 13 ขั้นตอน

คนส่วนมากจะไม่ปลื้มนักเมื่อสิวของเรากระจายไปยังจุดอื่นๆ ไม่ว่าจะเกิดจากฮอร์โมนหรือความเครียดก็ตาม ตามความเชื่อของคนทั่วไป สิว เกิดจากผิวหน้าของเราสกปรก ในความเป็นจริงแล้วการล้างหน้าบ่อยเกินไปก็ทำให้เป็นสิวได้เหมือนกันเพราะผิวของเราจะระคายเคืองมากกว่าเดิม นอกจากนี้ฮอร์โมนก็ไม่สามารถควบคุมได้ เรามีวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้สิวของคุณไม่กระจายตัว และทำให้ใบหน้าของคุณสดใสไร้สิวในเวลาไม่นาน

ขั้นตอนที่ 1 ล้างหน้าสองครั้งในหนึ่งวัน

ขั้นแรกในการทำความสะอาดผิวคือฝึกนิสัยการล้างหน้าให้เป็นกิจวัตรประจำวัน    บังคับตัวเองให้ล้างหน้าหลังจากที่ตื่นนอนในตอนเช้าและก่อนเข้านอน คุณอาจจะเหนื่อยหรือไม่ว่าง แต่การใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการล้างหน้าจะช่วยลดสิวของคุณได้

  • ใช้เวลาล้างหน้าอย่างน้อยที่สุด 1 นาที เป็นเวลาที่มากพอที่จะจัดการแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
  • ถ้ามีสิวในส่วนอื่นๆของร่างกายเช่น ไหล่ หลัง หรือหน้าอก คุณควรล้างบริเวณนั้น 2 ครั้งต่อวันด้วย
  • ถ้าคุณต่างหน้า อย่าเข้านอนเลยโดยที่ไม่ได้ล้างออก การนอนหลับโดยไม่ล้างเครื่องสำอางออกจะทำให้เป็นสิวมากขึ้นและการที่จะกำจัดสิวพวกนั้นออกจะทำได้ยากขึ้น   ควรใช้น้ำยาล้างเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมันร่วมกับโฟมล้างหน้าของคุณเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเครื่องสำอางถูกล้างอย่างหมดจดแล้ว

ขั้นตอนที่ 2 ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ "เบนโซอิล เปอร์ออกไซด์"
คุณควรใช้สบู่หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์(Benzoyl Peroxide) หากเป็นโลชั่น คุณควรทาบริเวณที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดสิว(ส่วนใหญ่จะเป็น T-zone) ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะทำความสะอาดผิวที่ตายและช่วยให้ผิวสร้างเซลล์ผิวใหม่
คำแนะนำ : คุณควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ประมาณ 3% หรืออาจจะน้อยกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวของคุณระคายเคือง

ขั้นตอนที่ 3 ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ "ซาลิไซลิค เอซิด"
salicylic acid หรือ กรดซาลิไซลิค นั้นจะคล้ายๆกับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์(Benzoyl Peroxide) แต่ไม่เหมือนกันตรงที่ มันจะเข้าไปกำจัดเซลล์ที่ตายและมีส่วนช่วยให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ ส่งผลให้ผิวบริเวณสิวของคุณแห้ง แต่ไม่ต้องกังวลเพราะมันจะดีขึ้นในเวลาไม่นานเมื่อผิวของคุณสร้างเซลล์ผิวใหม่เร็วขึ้น
คำแนะนำ : ใช้ผลิตภัณฑ์นี้เพื่อทำความสะอาดและรักษาเฉพาะบริเวณสิวทุกวัน

ขั้นตอนที่ 4 ใช้ Cleanser ที่มีส่วนผสมของกำมะถัน!
แม้ว่าเราจะไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใด "กำมะถัน" จึงสามารถกำจัดสิวได้ดีเยี่ยมและมันเวิร์คมาก คุณควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกำมะถันเพื่อทำความสะอาดสิวของคุณ [อ้างอิง]

ขั้นตอนที่ 5 หาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Azelaic Acid
Azelaic Acid เป็นสารต้านแบคทีเรียซึ่งช่วยลดอาการแดงและอาการอักเสบของสิว ส่วนมากเราจะพบสารตัวนี้มากในข้าวสารีและข้าวบาร์เล่ หากสิวของคุณทิ้งรอยดำไว้ ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Azelaic Acid ในการทำความสะอาดรูขุมขนและลดจุดด่างดำที่เกิดจากสิว

ขั้นตอนที่ 6 ใช้ยาแต้มสิว
ยารักษาเฉพาะจุดเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะที่เน้นรักษาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวเท่านั้น ซึ่งสามารถหาได้ง่ายที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน หรือทำเองก็ได่ไม่ต้องง้อใครโดยใช้อุปกรณ์ที่เรามีกันอยู่แล้วในบ้าน

  • ผสม Backing Soda และน้ำจากนั้นนำมาแต้มที่สิว ตอนกลางคืนก่อนนอน ล้างออกในตอนเช้าเพื่อเอาแบคทีเรียออกและสครับเพื่อจัดการกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  • ยาเม็ดแอสไพรินที่เราน่าจะมีกันอยู่ทุกบ้าน สามารถน้ำมาผสมกับน้ำและทาบนสิวเพื่อลดอาการแดงและบวม
  • ลองใช้ยาสีฟันแต้มบนสิวเพื่อให้สิวแห้งและลดอาการแดง

ขั้นตอนที่ 7 ใช้ครีมมาร์คหน้า
ครีมมาร์คหนา้ประกอบด้วยสารที่ที่ช่วยบรรเทาผิวของคุณและกำจัดแบคทีเรีย ใช้มาร์คหน้า 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 15-20 นาที เพื่อหน้าไม่มันเกินไปและทำความสะอาดรูขุมขน แน่นอนว่าสามารถหาได้ที่ห้างสรรพสินค้าแทบทุกที่ แต่คุณก็สามารถทำได้ที่บ้านของคุณเอง
  • น้ำมันมะกอก สามารถใช้เป็นมาร์คได้ เริ่มจากทาน้ำมันมะกอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้หมดจด
  • ผสมแตงกวาและข้าวโอ๊ตใช้มาร์คหน้า : แตงกวาช่วยลดรอยแดงและลดจุดด่างดำ ส่วนข้าวโอ๊ตช่วยเรื่องการบรรเทาอาการอักเสบของผิว   เมื่อผสมทั้งสองอย่างแล้วมาร์คหน้าประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • ใช้น้ำผึ้งขัดถูให้ทั่วใบหน้า จากนั้นทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • ลองใช้ไข่ขาวในการทำความสะอาดและกระชับรูขุมขน : ใช้ไข่ประมาณ 1-2 ฟอง จากนั้นตีไข่เล็กน้อยแล้วทาบนหน้า คุณจะรู้สึกว่ารูขุมขนกระชับขึ้นตอนที่มันแห้ง....รอจนกว่าไข่จะแห้งจนหมดแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ขั้นตอนที่ 8 ใช้น้ำมันหอมระเหยลดสิว
คนทั่วไปเชื่อว่าน้ำมันหอมระเหยบางชนิดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสามารถหนึ่งของการเกิดสิว  วิธีใช้ : หยดลงบนนิ้วแล้วแต้มไปที่สิวแต่ละจุด หรืออีกวิธีคือ หยดลงบนสำลีให้เปียกหมาดๆแล้วเช็ดบริเวณที่เป็นสิว
เพิ่มเติม : นอกจากจะใช้น้ำมันหอมระเหิยแล้ว ทางเลือกอื่นที่นิยมกันก็คือใช้ โหระพา, ลาเวนเดอร์ และโรสแมรี่
ขั้นตอนที่ 9 ผลัดเซลล์ผิวหน้า
การผลัดเซลล์ผิวคือการสครับที่อ่อนโยนซึ่งจะกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่จะเป็นสามารถของการเกิดสิว ด้านล่างเป็นวิธีการทำสครับขัดผิวด้วยตัวคุณเองไม่ต้องง้อใคร

  • ผสม Baking Soda และน้ำ(คล้ายๆกับขั้นตอนที่ 6 ทำยาแต้มสิว) จากนั้นถูนวดเบาๆเป็นวงกลมบนใบหน้า จะช่วยกำจัดแบคทีเรียและเซลล์ผิวที่ตายแล้วไปพร้อมๆกัน
  • สำหรับผิวแพ้ง่าย ให้ใช้ข้าวโอ๊ตแทน : ผสมข้าวโอ๊ตกับน้ำผึ้งจากนั้น ขัดถูเบาบนใบหน้าประมาณ 2-3 นาที และล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • สำหรับผิวแห้ง ให้ใช้กากกาแฟผสมกับโฟมล้างหน้าปกติของคุณ  การใช้กากกาแฟที่หยาบจะขูดหน้าของคุณเกินไปเวลาสครับ เราแนะนำว่าควรใช้ผงที่บดละเอียดจะทำให้การสครับเป็นไปอย่างอ่อนโยน
ขั้นตอนที่ 10 ใช้น้ำมันจากไข่ไก่
ไข่แดงประกอบด้วยสารอิมมูโน(immunoglobulins)จะช่วยฆ่าแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบและแก้อาการสิว กรดไขมันอิ่มตัวโอเมก้า 3(Omega-3 fatty acids)ในไขมันของไขไก่มีส่วนช่วยในการป้องกันรังสี UV 
  • ใช้ไขมันจากไข่ไก่นวเบาๆบนบริเวณที่เกิดสิว ครั้งละ 2-3 นาทีวันละ 2 ครั้ง
  • ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชม. แล้วล้างออกด้วยโฟมล้างหน้า
  • ใช้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนกระทั่งสิวหายหมด และผิวใสแล้ว
ข้อระวัง : การหยุดใช้กลางคันอาจทำให้สิวเป็นมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 11 ใช้น้ำมันจากต้นชา
น้ำมันจากต้นชามีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียซึ่งมันจะช่วยจัดการจุลินทรีย์(microbes)ที่อุดตันในรูขุมขน วิธีการใช้คือใช้คัดตอนบัด(Cotton Swab)จุ่มน้ำมันจากต้นชาแล้วแตะเบาๆบนสิว
ข้อระวัง : อย่าจุ่มน้ำมันจากต้นชาเยอะเกินไปเพราะอาจะทำให้ผิวของคุณอักเสบได้และทำให้ผิวแดงมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 12 ใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้า
หลังจากที่คุณล้างหน้า สครับขัดผิว หรือมาร์คหน้า ให้ใช้โทนเนอร์(Toner)ทาให้ทั่วใบหน้า โทนเนอร์จะช่วยกระชับรูขุมขนทำให้ปัญหาสิ่งสกปรกและไขมันอุดตันลดลง หลังจากใช้โทนเนอร์อย่าล้างออกให้ทาทิ้งไว้เลย
ขั้นตอนที่ 13 ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์
คนผิวมันจะเป็นสิวง่าย แต่ถ้าผิวของคุณเป็นผิวแห้ง ร่างกายของคุณจะชดเชยผิวที่แห้งด้วยการสร้างไขมันที่มากกว่าปกติ วิธีหลักเลี่ยงคือใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้าทุกๆเช้าและเย็น

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

,

น้ำมันมะรุม(Ben Oil) สรรพคุณเพื่อความงามอันน่าเหลือเชื่อ


ณ เวลานี้ น้ำมันมะรุม ได้รับการยกย่องว่าเป็นน้ำมันที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งถูกใช้สำหรับสุขภาพและความงามมามากกว่าศตวรรษ น้ำมันมะรุมถูกเขียนในวารสารต่างประเทศเพราะประโยชน์และสรรพคุณทางยา

ข้อมูลทั่วไปของน้ำมันมะรุม

ต้นมะรุมมาจากประเทศอินเดียและประเทศในแถบหิมาลัย   ในอินเดียน้ำมันมะรุมถูกใช้เป็นยาอายุรเวชและเป็นอาหาร ในตอนนี้ต้นมะรุมถูกปลูกอยู่ในหลายประเทศแล้วรวมถึงประเทศไทย ฟิลิปปิน และแอฟริกา นอกจากจะใช้เป็นยาและอาหารแล้ว น้ำมันมะรุมยังถูกใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นให้กับเครื่องจักร และพลังงานเชื้อเพลิง

เมื่อเมล็ดของต้นมะรุมถูกบีบกดจะมีน้ำมันสีเหลืองๆใสๆออกมา ซึ่งน้ำมันชนิดนี้เราจะเรียกกันว่า Ben Oil หรือ Behen Oil เพราะมันมีความเข้มข้นของกรดเบเฮนนิค(Behenic Acid) และกรดไขมัน(Fatty Acid)สูงมาก เนื่องจากน้ำมันมะรุมมีสารแอนติออกซิแดนท์(Antioxidant)ที่คงความสดใหม่ให้กับเซลล์ตามธรรมชาติ มันจึงเป็นน้ำมันที่ความเสถียร(Stable), ป้องกันกลิ่นเหม็นหืน และมีอายุการใช้งานถึง 5 ปี น้ำมันมะรุมอุดมไปด้วยสารอาหาร มีสาร palmitoleic สูง, มี oleic และ linoleic acids, กรดไขมันที่ให้ความชุ่มชื้น(moisturizing fatty acids) และวิตามิน A และ C

ความลับความงามที่เก่าแก่
ในกรุงโรม กรีก และอียิปต์โบราณ น้ำมันมะรุมเคยใช้ในการทำน้ำหอมและปกป้องผิว  น้ำมันยังถูกใช้ใน
การนวดแผนโบราณเพื่อช่วยเพิ่มกลิ่นหอมของดอกไม้ นำมาใส่ผมเพราะน้ำมันดูดซึมและคงกลิ่นเอาไว้
ในอียิปต์ น้ำมันมะรุมถูกใช้ทำเป็นครีมยา ขี้ผึ้ง(Salves) และใช้ป้องกันผิวจากสภาพอากาศที่เป็นทะเลทราย นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังใช้น้ำมันมะรุมในพิธีกรรมทางศาสนาด้วย นักโบราณคดีพบขวดน้ำมันมะรุมในหลุมฝังศพเก่าแก่ของชาวอียิปต์โบราณ

วิตามินในน้ำมันมะรุม
  • วิตามินเอ - มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน
  • วิตามินซี - มีส่วนช่วยในการลดเลือดริ้วรอย
  • วิตามินอี - ช่วยรักษาและบรรเทาอาการผื่นคัน

น้ำมันสรรพคุณที่สำคัญ

บำรุงผิวพรรณ
น้ำมันมะรุมพบมากในเครื่องสำอางเนื่องจากน้ำมันมะรุมทำให้ผิวชุ่มชื้น ทำความสะอาดและสรรพคุณช่วยให้ผิวนวล   น้ำมันมะรุมสามารถใช้เป็นแชมพู ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม โลชั่น น้ำมันทาตัว(Body Oil) น้ำมันทาปาก ครีมลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย ครีมทาหน้า สบู่ น้ำหอม และใช้ดับกลิ่นตัวได้   น้ำมันมะรุมยังถูกใช้ทำน้ำมันหอมระเหยและน้ำมันนวด เนื่องจากน้ำมันมะรุมผสมได้ดีกับน้ำมันหอมระเหยและสามารผสมกับส่วนผสมอื่นๆได้ดีเยี่ยม น้ำมันมะรุมสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ผิวพรรณเปร่งปรั่งสดใส

ช่วยรักษาผิวแห้ง
  • น้ำมันมะรุมทำให้ผิวนุ่มและรักษาความชุ่มชื้นภายในผิว
  • น้ำมันมะรุมมีประโยชน์ในการรักษาผิวที่หยาบกร้านและแห้ง  เช่น โรคผิวหนังบางชนิด กรากเกลื้อน และโรคสะเก็ดเงิน
ลดริ้วรอย
  • น้ำมันมะรุมช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดริ้วรอย
  • สารแอนติออกซิแดนซ์ และสารอาหารในน้ำมันมะรุมช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นเหตุให้เนื้อเยื่อของผิวถูกทำลายและนำไปสู่การเกิดริ้วรอยในที่สุด
  • ช่วยแก้ไขริ้วรอยที่เกิดขึ้นและการหย่อนคล้อยของผิวหนัง
  • ฮอร์โมนของพืชที่เรียกว่าไซโตไคนิน ช่วยส่งเสริมการเกิดใหม่ของเซลล์ และชะลอความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อผิวหนัง
  • วิตามินซีช่วยให้คอลลาเจน(Collagen)เสถียร ช่วยลดริ้วรอยและฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลาย

ป้องกันสิวและจุดด่างดำจากสิว

  • น้ำมันมะรุมช่วยจัดการสิวหัวดำและสิวหัวหนอง   เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยไม่ให้เป็นสิวซ้ำอีก
  • ช่วยลบเลือนจุดด่างดำที่เกิดจากสิว
คุณสมบัติฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ
น้ำมันมะรุมมีคุณสมบบัติด้านการฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ และใช้ในการรักษาแผลเล็กน้อยได้เช่น
  • แผลถลอก
  • โดนข่วน
  • มีดบาด
  • ฟกช้ำ
  • โดนไหม้เล็กน้อย
  • แมลงกัดต่อย
  • ผื่น
  • ถูกแดดเผา
  • การติดเชื้อที่ผิวหนังเล็กน้อย

สูตรลับความงามกับน้ำมันมะรุม

บำรุงผิวพรรณของคุณ - นวดน้ำมันมะรุมบนผิวจะช่วยให้ผิวเกิดความชุ่มชื้น
โทนเนอร์ให้ผิวชุ่มชื้น - โทนเนอร์นี้ใช้ได้กับผิวทุกแบบ วิธีทำคือ ผสมน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมันมะรุม 2 ช้อนชา จากนั้นเก็บไว้ในขวดที่สะอาด  ใช้ตอนเช้าและตอนเย็นจะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น
สครับขจัดเซลล์ผิวเก่า - ผสมน้ำตาลทายแดงกับน้ำมันมะรุมจะได้สครับที่มีความอ่อนโยนต่อผิว การสครับให้หมุนเป็นวงกลม และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ผสมล้างเครื่องสำอางด้วยน้ำมันมะรุม - ผสมน้ำมันมะพร้าวครึ่งถ้วย น้ำมันมะรุมครึ่งถ้วย และน้ำมันจากต้นชาอีก 5 หยด จากนั้นเก็บไว้ในขวดที่สะอาด   ใช้สำลีชุบและเช็ดออกเบาๆ(การใช้สำลีแบบแผ่นจะช่วยให้ใยของสำลีไม่เข้าตา)

รวบรวมข้อมูลโดย สยามเฮิร์บส์

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

,

หัวไชเท้า สรรพคุณมหาสารที่หลายคนยังไม่รู้


หลายท่านทานหัวไชเท้ากันอยู่ในชีวิตประจำวัน รู้หรือไม่ว่าหัวไชเท้ามีคุณประโยชน์และสรรพคุณมากมายหลายอย่างที่เรานึกไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสวยความงาม รักษาโรคต่างๆซึ่งปรากฎในตำราการแพทย์ของจีนและอินเดีย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย ว่าแล้วก็มาดูรายละเอียดของไชเท้ากันเลยครับ

ข้อมูลทั่วไป

หัวไชเท้า ภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Radish, White Radish ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Raphanus sativus var. longipinnatus นอกจากนี้ชื่ออื่นๆยังมีอีกมากมาย เช่น หัวไช้เท้า หัวผักกาด ผักกาดหัว มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ตามตำราจีนโบราณบอกว่าหัวไชเท้าสามารถกำจัดสิ่งสกปรกที่หมักหมมภายในร่างกาย มีฤทธิ์เป็นหยาง หรือเป็นภาษาไทยก็คือ ฤทธิ์เย็นนั่นเอง หัวไชเท้าจะมีรสชาติเผ็ดร้อนหน่อยๆ ซึ่งก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในหลายๆด้านซึ่งจะอธิบายต่อไปในหัวข้อ หัวไชเท้าสรรพคุณและคุณประโยชน์ การรับประทานหัวไชเท้านั้นสามารถรับประทานได้ทั้งแบบสุกและแบบดิบ ถ้าเป็นไปได้ควรรับประทานแบบดิบมากกว่า เนื่องจากจะทำให้ได้ประโยชน์จากหัวไชเท้ามากกว่า

หัวไชเท้า สรรพคุณที่หลากหลาย

สรรพคุณและคุณประโยชน์ของไชเท้าในการบำรุงและป้องกันโรคมีดังนี้
  • ฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณ - วิตามินซี ฟอสฟอรัส สังกะสี และวิตามินบีบางชนิดในหัวไชเท้า เป็นประโยชน์กับผิวพรรณเป็นอย่างมาก น้ำจากหัวไชเท้าช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น หัวไชเท้าที่สับหรือบดจนละเอียดสามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างดีจากสรรพคุณด้านการฆ่าเชื้อ นอกจากนี้หัวไชเท้ายังช่วยรักษาผิวที่แห้ง เป็นผื่น เป็นฝ้ากระได้อีกด้วย
  • การลดน้ำหนัก - ส่วนประกอบของหัวไชเท้ามีระดับคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ มีน้ำมาก ทำให้เราอิ่มโดยไม่ทำให้ระดับแคลเลอรี่เพิ่มขึ้น มีใยอาหารมากทำให้ขับถ่ายได้สะดวก ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นหัวไชเท้าจึงเป็นพืชอีกชนิดที่น่าสนใจใที่จะทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย - มีเหตุผลมากมายว่าทำไมหัวไชเท้าจึงเป็นอาหารที่ควรทานควบคู่กับอาหารหลักของเรา การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเป็นสามารถหนึ่งที่สำคัญ การดื่มน้ำหัวไชเท้าเพียงครึ่งแก้ว หรือทานเป็นอาหารว่างจะทำให้เราได้รับวิตามินซีมากเกือบ 15% ของปริมาณที่ควรรับประทานต่อวัน การทานแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจะช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เราจะได้รับสารแอนติออกซิแดนท์(antioxidants) และช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว(อ้างอิง)ซึ่งมีความสำคัญมากในการต่อสู้กับโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคหวัดธรรมดาหรือโรคมะเร็ง!
    วิตามินซีไม่เพียงเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่ยังช่วยควบคุมกระบวนการเมทาบอลิซึม(metabolism)ซึ่งเปลี่ยนจากความอ้วนเป็นพลังงานที่สามารถใช้ได้ นอกจากนี้วิตามินซีจากหัวไชเท้ายังมีส่วนในการสร้างคอลลาเจน(collagen)ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นในการสร้างความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด ทำให้ลดโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ
  • แมลงสัตว์กัดต่อย - หัวไชเท้ามีสรรพคุณบรรเทาอาการคัน จึงสามารถใช้บรรเทาอาการแมลงกัดต่อยและผึ้งต่อย นอกจากนี้น้ำหัวไชเท้าสามารถลดอาการเจ็บ ปวด บวม ในบริเวณที่โดนกัดต่อยและบริเวณใกล้เคียงได้
  • โรคดีซ่าน - หัวไชเท้ามีประโยชน์มากสำหรับตับและกระเพาะอาหาร นอกจากนี้มันยังเป็นตัวดีท็อกซ์ได้เหมือนกัน ซึ่งหมายความว่ามันจะช่วยให้เลือดบริสุทธิ์ ขจัดสารพิษและของเสียออกไป หัวไชเท้ามีประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาโรคดีซ่าน เพราะหัวไชเท้าจะลดระดับของ Bilirubin และช่วยให้สารผลิตภัณฑ์ของ Bilirubin อยู่ในระดับที่ปกติอีกด้วย นอกจากนี้หัวไชเท้ายังช่วยลดการทำลายของเม็ดเลือดแดงซึ่งทำให้ผู้ป่วยดีซ่านต้องทรมานด้วยการเพิ่มออกซีเจนที่บริสุทธิ์ให้แก่เลือด
  • โรคริดสีดวงทวาร - หัวไชเท้าจะช่วยให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น ช่วยเก็บรักษาน้ำ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูกที่เป็นสาเหตุหลักของโรคริดสีดวงทวาร เนื่องจากหัวไชเท้าเป็นตัวดีท็อกซ์ที่ดีเยี่ยม มันจึงรักษาอาการริดสีดวงทวารได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้น้ำของหัวไชเท้ายังมีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายได้อีกด้วย
  • ความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ - น้ำของหัวไชเท้าสามารถบรรเทาอาการอักเสบและอาการปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ นอกจากนี้ยังช่วยทำความสะอาดไต ยับยั้งการติดเชื้อของไตและระบบปัสสาวะ ทำให้หัวไชเท้าเป็นตัวช่วยในการรักษาสภาพของระบบปัสสาวะที่มีพิษเยอะเกินไปให้เป็นปกติได้
  • หัวใจและหลอดเลือด - หัวไชเท้าอุดมไปด้วย Anthocyanin ซึ่งให้ทั้งสีแก่หัวไชเท้าและประโยชน์ทางสุขภาพอีกมากมาย  Anthocyanin มีส่วนช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ต้านมะเร็ง และคุณสมบัติต้านการอักเสบ
  • ความดันโลหิตสูง - นอกจากนี้หัวไชเท้ายังอุดมไปด้วยโพแทสเซี่ยม(Potassium) ที่มีส่วนช่วยในการลดความดันเลือด เพราะโพแทสเซี่ยมช่วยให้หลอดเลือดแดงคลายตัวใหญ่ขึ้น ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น การลดความดันเลือดเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ขยายใหญ่ขึ้นนั่นเอง
  • แก้ไข้ - หัวไชเท้าสามารถลดอุณหภูมิในร่างกาย วิธีที่ดีที่สุดในการเพื่อบรรเทาอาการไข้คือการดืมน้ำหัวไชเท้า บางตำราบอกให้ผสมเกลือดำ(มีหลายชื่อเรียก บางท่านเรียกเกลือพระพุทธเจ้า, Kala Namak, Black Salt)ลงไปในน้ำหัวไชเท้า ซึ่งสรรพคุณที่สามารถฆ่าเชื้อได้ของหัวไชเท้าทำให้มันสามารถต้านการติดเชื้อที่ทำให้เป็นไข้ได้
  • โรคไต - จากสรรพคุณการฆ่าเชื้อ ทำความสะอาด หัวไชเท้าสามารถรักษาความผิดปกติของไตได้หลายชนิด หัวไชเท้าสามารถล้างพิษที่สะสมในไต และลดการสะสมพิษภายในกระแสเลือด นอกจากนี้ยังลดโอกาสการจิดเชื้อในไตได้อีกด้วย
  • โรคเบาหวาน - หัวไชเท้ารู้จักกันมานานแล้วว่ามีน้ำตาลในระดับที่ต่ำ ดังนั้นการทานหัวไชเท้าจึงไม่ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย
  • โรคมะเร็ง - ตั้งแต่หัวไชเท้าเป็นตัวดีท็อกซ์และอุดมไปด้วยวิตามนซี, ฟอริก(Foric) และ Anthocyanins หัวไชเท้าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิดเช่น ลำไส้ใหญ่, ไต, กระเพาะอาหาร, และช่องปาก นอกจากนี้สาร Isothiocyanate ในหัวไชเท้ายังสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้
  • โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดลมอักเสบ และโรคหอบหืด - หัวไชเท้าลดความแน่นภายในระบบทางเดินหายใจรวมทั้งการระคายเคืองของจมูก ลำคอ และปอด ที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเป็นโรคหวัด โรคภูมิแพ้ หรือเกิดการติดเชื้อ  หัวไชเท้ามีประสิทธิภายในการฆ่าเชื้อและอุดมไปด้วยวิตามิน ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้

ข้อควรระวัง

ไม่ควรทานสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนเช่น โสม ตังกุ่ย เนื่องจากฤทธิ์เย็นของหัวไชเท้าจะสะเทินฤทธิ์ของสมุนไพรตัวอื่นๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมุนไพรจะไม่ดีเท่าที่ควร

อ้างอิง

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

,

พริกไทยดำ สรรพคุณลดน้ำหนัก...แล้วมีผลข้างเคียงไหม ?


พริกไทยดำ สมุนไพรลดน้ำหนักของไทยมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง เมื่อทานเยอะเกินไปจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดเซลล์มะเร็งไหม มีผลการวิจัยอะไรรองรับหรือเปล่า ในบทความสมุนไพรชุดนี้มีคำตอบ....

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

,

มะขามแขก สรรพคุณคือตัวเต็งเรื่องยาระบาย


ส้มแขก ถือเป็นยาระบายที่ได้ผลดี เมื่อกินลงไปแล้วจะทำให้สารชนิดหนึ่งภายในมะขามแขกกระตุ้นการบีบตัวของลำใส้ ทำให้ผู้ที่กินปวดท้องและถ่ายออกมาในที่สุด ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้หลายท่านเข้าใจว่าส้มแขกสามารถลดความอ้วนได้ มันลดน้ำหนักได้จริงเหรอ หาคำตอบได้ที่นี่....

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

, ,

ส้มแขก สรรพคุณคือลดน้ำหนักได้ดีเยี่ยมจากผลการวิจัย


ส้มแขก สมุนไพรไทยลดน้ำหนัก ของดีในประเทศไทยที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ สยามเฮิร์บส์เชื่อว่า หลายๆท่านที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ไม่รู้ว่าจะทานอะไรดี การตัดสินใจกินยาลดน้ำหนักก็อาจได้ผลเสียมากกว่าผลดี ส้มแขกถือเป็นทางเลือกหนึ่งทีน่าสนใจไม่มีผลข้างเคียง ไม่เกิดเอ็กเฟ็คต์ตามมา และได้รับการยืนยันจากผลการวิจยของสถาบันทางวิทยาศาสตร์ 3 แห่งของประเทศไทยด้วย

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

,

มะรุม สรรพคุณทางยาประโยชน์และผลข้างเคียงจากงานวิจัยม.มหิดล

มะรุมถือว่าเป็นสมุนไพรไทยสารพัสประโยชน์ มีสรรพคุณทางยามากมาย น้ำมันมะรุมยังเหมาะกับผู้หญิงที่ต้องการให้หน้าดูอ่อนกว่าวัย ผิวอ่อนนุ่ม ไม่หยาบกร้าน สามารถฆ่าเชื้อราและแบคที่เรียบางชนิดได้ จึงเหมาะกับผู้ที่มีอาการเป็นเชื้อราที่หนังศรีษะ มีอาการคันศีรษะ และลดอาการผมร่วง นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อ หรือผู้ที่เป็นโรคเก๊าได้

สมุนไพรล่าสุด